พัฒนาการ | ของ IT Infrastructure และ HCI

รู้หรือไม่ว่าองค์กรของท่านมีอุปกรณ์ IT อะไรบ้างที่อยู่ใน Data Center ส่วนใหญ่ก็จะมีพวก Server, Storage, Switch และสาย LAN ต่าง ๆ ห้อยเต็มห้องไปหมด แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมต้องใช้อุปกรณ์พวกนี้เชื่อมต่อกันหลาย ๆ เครื่อง ต้นกำเนิดมันเกิดมาจากอะไร คนที่อยู่มาก่อน ทำไมเค้าถึงออกแบบมาเป็นแบบนี้ แล้วทำไมถึงต้องมีอุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้น

 

ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่คอมพิวเตอร์กำเนิดขึ้นมาและมีการเริ่มใช้งานกันภายในองค์กร จุดเริ่มต้นมาจากภายในองค์กรอาจจะมีการใช้งาน Application บางอย่างที่ Server เพียงเครื่องเดียว ก็เพียงพอที่จะให้พนักงานในองค์กรใช้งานได้ เป็นลักษณะตามภาพด้านล่าง เรียกว่า Client-Server Architecture

 

Client  – เป็นช่องทางที่พนักงานจะสามารถเข้าใช้งาน Application ได้จากอุปกรณ์ของตัวเอง เช่น Laptop, Desktop PC และอื่น ๆ

Server – เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงและมีการติดตั้ง Application ไว้

 

ซึ่งถ้าระบบขององค์กรเป็นแบบนี้ มีเจ้าหน้าที่ดูแลระบบแค่ 1-2 คนก็เพียงพอแล้ว เพราะระบบไม่ได้ซับซ้อนมาก

เมื่อเริ่มมีพนักงานมากขึ้น มีแผนกอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ Application เพิ่มขึ้น ถ้า Server ตัวเดิมยังสามารถติดตั้ง Application ได้อยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้า Server spec น้อยไปหรือพื้นที่สำหรับติดตั้งไม่เพียงยังไงก็ต้องหา Server ใหม่ มาติดตั้งให้ใช้งาน

 

แล้วถ้ามี Application ที่เพิ่มขึ้นมาอีกก็ต้องซื้อ Server มาทบเรื่อย ๆ ทำให้อาจจะต้องหาที่ไว้สำหรับติดตั้ง Server โดยเฉพาะ

 

โดยประโยชน์ของการที่มี Server เพียงแค่ตัวเดียว ก็สามารถสร้าง Virtual machine (เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเสมือน) ติดตั้ง Operating Systems และสามารถเลือกติดตั้ง Application ไว้ให้ใช้งานได้ตามความต้องการของแต่ละแผนก ประโยชน์อีกอย่างคือทำให้ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าในเรื่องของ Spec ไม่ว่าจะเป็น CPU, Memory และ Disk ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นแบบ Physical Server ถ้าอยากจะ Scale ขนาดของ Disk เพิ่ม ก็สามารถทำได้ ถ้าจะ Scale ขนาดลงจะลำบากกว่า แต่ถ้าเป็นแบบ Virtualization สามารถเพิ่มหรือลดได้ตามความต้องการ

 

ระบบ Virtualization แบบนี้ จะถูกใช้ใน Infrastructure โดยองค์กรทั่วไป จนถูกเรียกอย่างคุ้นชินว่า Traditional IT Infrastructure

ส่วนนี้จะเป็น Infrastructure ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกอันเนื่องมาจากการใช้งานที่มากขึ้นตามขนาดขององค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการเพิ่ม Physical Server เพื่อ HA ในระดับ Physical ด้วย (แน่นอนว่ามี HA ในระดับ Virtualization host) และการ Shared Storage เพื่อป้องกันกรณี Storage เสียหาย เรียกว่าการทำ RAID

 

ทำให้โดยรวมระบบ Traditional IT Infrastructure มีองค์ประกอบอยู่หลัก ๆ ประมาณ 4 ส่วนคือ

 

1.Physical ServerServer ที่มีหน่วยประมวลผล ได้แก่ CPU และ RAM เป็นที่อยู่ของ

Virtualization Host

2.Storage – ส่วนที่ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูล ประกอบไปด้วย Hard disk หลาย ๆ ลูก อาจจะเป็น SAN หรือ

NAS ที่ใช้งานแบบ Share

3.Network Switch – สำหรับใช้เชื่อมต่อ Server กับ Network อื่น ๆ ด้วย Ethernet port

4.Storage Switch – สำหรับใช้เชื่อมต่อ Storage กับ Server ด้วย Fiber channel port

 

ข้อดี – หากต้องการใช้งาน CPU และ Memory เพิ่ม สามารถเติม Server ได้, หากต้องการเพิ่มขนาด Hard disk ก็สามารถหา Storage มาเติมได้

ข้อเสีย – ต้องใช้คนดูแลหลาย ๆ ส่วน หากเกิดปัญหาต้องมาไล่ตรวจสอบว่าเกิดจากอะไร ซึ่งในความเป็นจริงจะเสียเวลามาก

 

จากปัญหาเรื่องจำนวนคนที่ต้องดูแลระบบ Infrastructure ก็ได้มีผู้คิดค้น Infrastructure แบบใหม่ขึ้นมา มาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือการนำ Compute กับ Storage มารวมกันเลย เพื่อให้ดูแลจัดการได้ง่าย ไม่ต้องใช้คนดูแลเยอะ ทีนี้น่าจะเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมต้องย้อนกลับไปให้โครงสร้างคล้าย ๆ กับ แบบเก่า?

คำตอบคือ ในสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถนำ Compute, Storage มารวมกันได้ ทำให้เหลือ Resource ที่เป็นเศษ ๆ ไม่สามารถใช้งานได้คุ้มค่าตามขนาดที่มี แต่เทคโนโลยีใหม่นี้สามารถนำ Compute มารวมเป็น Compute pool เดียวกัน, Storage มารวมเป็น Storage pool เดียวกัน ให้หยิบไปใช้สร้าง Virtual Machine หรือเพิ่มขนาดของ Disk จากทุก Physical Server ที่เชื่อมต่อกันอยู่

เราเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Hyper-Converged เป็นการรวม Compute + Storage เข้าไว้ด้วยกันและใช้ Software-defined ในการจัดการ Storage ในแต่ละ Server เหมาะสำหรับใช้งานเป็น Private Cloud ติดตั้งพวกระบบ VMware หรือ Hyper-V ที่เป็น Virtualization host ในด้าน Physical โดยปกติแล้วระบบ HCI จะไม่ได้มีแค่ Physical Server แค่ตัวเดียว

 

ข้อดี – Performance ดีมาก, ดูแลจัดการได้ง่าย ใช้คนดูแลไม่เยอะเพราะระบบทุกอย่างรวมอยู่ในส่วน ๆ เดียว, ใช้พื้นที่ไม่เยอะ

ข้อเสีย – ไม่สามารถที่จะ Scale อย่างใดอย่างหนี่งได้ เช่น ต้องการ CPU และ Memory เพิ่ม, ค่า License มีราคาค่อนข้างสูง

 

สรุปให้ว่าควรจะเลือก Infrastructure แบบไหนดีในการ Implement?

  • Traditional Infrastructure จะมีความยุ่งยากในการ Implement เนื่องจากต้องใช้หลายองค์ประกอบมารวมกันเป็น Infrastructure ไม่ว่าจะเป็น Server, Network และ Storage ซึ่งต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาออกแบบและดูแล ทำให้เหมาะสำหรับองค์กรที่มีผู้ที่มี Skill อยู่ และถ้าขนาดขององค์กรมีขนาดใหญ่การใช้ Infrastructure แบบนี้ก็จะลด Cost ลงไปได้เยอะเพราะสามารถซื้ออุปกรณ์เป็นจำนวนมากในราคาที่ถูกลง
  • Hyper-Converged Infrastructure เหมาะสำหรับองค์กรที่เริ่ม Implement ใหม่ ยังมีจำนวน Server ไม่เยอะมาก และไม่อยากมีปัญหากับการจัดการระบบแยกส่วนกัน ทำให้มีคนดูแลไม่ต้องมาก ก็สามารถดูแลได้ครอบคลุม

 

 

“READY IDC”

ยินดีเป็นผู้ช่วยคนใหม่…ให้คุณ

 

สนใจติดต่อหรือสอบถามรายละเอียดการให้บริการเพิ่มเติมได้ทาง

Email: [email protected] หรือ www.readyidc.com

By Ready IDC